บ้าน คือที่พักอาศัยของเรา เป็นปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ แต่ปัจจุบันหลายบ้านได้ถูกสร้าง โดยลืมถึงสภาพภูมิอากาศที่ตั้ง เพราะทำเลพื้นที่ไม่อำนวย การใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสม ทำให้ต้อง ปรับอากาศภายในบ้าน ซึ่งเป็นการสิ้นเปลืองและทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น หนทางที่จะลดการใช้ พลังงานคือการปรับเปลี่ยน วิถีชีวิต พฤติกรรม และใช้พลังงานให้คุ้มค่าที่สุด
การเริ่มต้นประหยัดพลังงานที่ดีควรมีแนวคิดและหลักปฏิบัตที่ถูกต้อง ซึ่งต่อไปนี้จะเป็น แนวคิด เทคนิควิธีการอยู่ 10 ประการ เพื่อให้ท่านสามารถนำไปใช้ได้
1.หันบ้านให้ถูกทาง
"อยู่เย็นเป็นสุข" "ร่มรื่น ร่มเย็น" "โล่ง โปร่ง สบาย"
สภาพแวดล้อมรอบๆบ้านมีส่วนช่วยทำให้เย็นสบาย เช่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่กีดขวางทางลม ฯลฯ การวางตำแหน่งของบ้านที่ดี จะทำใหบ้าน้รับประโยชน์จากธรรมชาติได้มากที่สุด ถือเป็นการเริ่มต้นช่วยให้การใช้พลังงานในบ้านน้อยลง
ดวงอาทิตย์อ้อมใต้
ความร้อนที่เกิดในบ้าน ส่วนใหญ่จะเกิดจากดวงอาทิตย์ การจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ ก็ต้องป้องกันแสงแดดไม่ให้ส่องเข้าบ้าน สำหรับประเทศไทย ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออกจะมีการเคลื่อนตัวไปทิศใต้ จนไปตกทางด้านทิศตะวันตก เป็นเวลา8 - 9 เดือน และเดือนธันวาคมก็เป็นช่วงเดือนที่ดวงอาทิตย์อ้อมไปทางทิศใต้มากที่สุดและมีมุมแดดต่ำที่สุดด้วย ช่วงเดือนที่เหลืออีกประมาณ 3 - 4 เดือน (พฤษภาคม - กรกฎาคม) นั้น ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่อ้อมผ่านทิศเหนือโดยมีมุมแดดค่อนข้างสูง ฉะนั้นด้านทิศเหนือสำหรับบ้านเราจึงเป็นทิศที่แสงธรรมชาติค่อนข้างดี
ดังนั้นการวางตำแหน่งของบ้านก็อาจใช้หลัก "เปิดรับ แสงเหนือ" "กันแดดด้านตะวันตกและใต้"
ลมเหนือและลมใต้
ลมประจำที่พัดผ่านประเทศของเรา เป็นลมที่มีทิศทางค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากเป็นลมมรสุม (คล้ายลมบก ลมทะเล แต่พัดเป็นบริเวณกว้าง และพัดเป็นเวลานานๆ) มีอยู่ 2 ชนิด คือ ลมมรสุมฤดูร้อนที่พัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม และลมมรสุมฤดูหนาวที่พัดมาจากทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ แปลว่าการจะสร้างบ้าน หรือจัดวางบ้านให้ได้รับลมประจำก็ต้องพยามให้มีช่องลมทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ทั้ง 2 ด้าน สำหรับบ้านในเมืองก็พยามเลือกด้านที่แสงแดดเข้าน้อยที่สุด
2.กางร่มให้บ้าน
หลายๆบ้านไม่สามารถหันหน้าหลบแดดได้ เนื่องจากปลูกสร้างมานาน ก็อาจใช้แนวคิด "กางร่มให้บ้าน" เพื่อให้ตัวบ้านเช่น ผนัง หลังคา ช่องหน้าต่างถูกแดดน้อยที่สุด เมื่อความร้อนเข้าบ้านน้อย ค่าไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศก็น้อยลงด้วย
ต้นไม้สุดยอดร่มเงา
วิธีง่ายๆและให้ประโยชน์มากที่สุดของการกางร่มให้บ้าน คือการปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆบ้าน นอกจากความสดชื่นและอากาศบริสุทธ์ที่ได้รับจากต้นไม้ หลายท่านคงพอทราบว่าต้นไม้ช่วยลดความร้อนได้ด้วย โดยจะดูดน้ำออกมาจากพื้นดิน และระเหยเป็นไอน้ำผ่านทางปากใบ ทำให้อากาศโดยรอบเย็นลง
เชื่อหรือไม่ว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่ สามารถให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันเลยทีเดียว
ดังนั้นทุกครั้งที่เราปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน เรากำลังได้ประโยชน์จากธรรมชาติ 4 ประการด้วยกันคือ "ให้ร่มเงา" "สร้างอากาศบริสุทธ์" "ทำความเย็น" และช่วยประหยัดพลังงาน" ให้กับบ้านเราไปพร้อมๆกัน
ติดกันสาดให้บ้าน
การติดตั้งกันสาดหรือแผงกันแดดเป็นการป้องกันความร้อนและแสงแดดไม่ให้ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นความร้อนสะสมอยู่ในบ้าน การติดตั้งกันสาดที่ดีต้องเป็นกันสาดที่กันไม่ให้แสงแดดส่องเข้ามาในบ้านได้เกือบทั้งหมด แต่อย่าติดมากจนทำให้ภายในบ้านมืดจนต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน
3.อย่าใส่แหล่งความร้อน
บริเวณที่ว่างรอบตัวบ้านหลายๆบ้านทำเป็นลานคอนกรีตจอดรถอยู่กลางแสงแดดตลอดเวลา พื้นที่พวกนี้จะเป็นตัวดูดความร้อนและอมความร้อนได้ดี เป็น "แหล่งผลิตความร้อน หรือ มวลความร้อน" จึงควรมีพื้นที่แบบนี้ให้น้อยที่สุด
การแก้ไขกรณีดังกล่าว ก็เช่น การใช้บล็อคสนาม (หญ้าสามารถขึ้นได้) แทน ไม่เช่นนั้นก็ "กางร่มให้ลานคอนกรีต"
ปูฉนวนให้พื้นดิน
การปลูกหญ้า ไม้คลุมดินโดยรอบบ้าน นอกจากเป็นฉนวนกันความร้อนแล้ว ยังเป็นตัวป้องกันฝุ่นอีกด้วย ทั้งยังเป็นการสร้างความร่มรื่น สบายตา ลดการสะท้อนแสง ฯลฯ ย่อมดียิ่งนัก
4.ยอมให้ลมพัดผ่าน
ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านตัวเรา เราจะรู้สึกเย็นสบาย ถ้าบ้านเรามีลม(เย็น) ผ่านเข้าบ้างบ้านเราก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดเพียงแต่น้อย ทิศทางลมหลักๆคือลมหน้าร้อนพัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลมหน้าหนาวพัดมาจากทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หากวางบ้านหรือช่องหน้าต่างทางทิศทางนี้ก็จะมีโอกาสรับลม
แต่ทางที่ดีควรอย่าให้มีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของอื่นมาขวางทางลมเข้าออก และควรมีช่องลม 2 ด้านอยู่ตรงข้ามกันหากไม่มีก็อาจใช้พัดลมช่วยได้ ซึ่งเจ้าพัดลมนี้กินไฟน้อยกว่าเครื่องปรับอากาศเยอะเลย..
5.เปิดบ้านรับแสงธรรมชาติที่ดี
การที่แต่ละห้องมีช่องแสงหรือหน้าต่างให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ ประโยชน์ที่เห็นชัดที่สุดคือเราไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าที่จะเปิดโคมไฟในเวลากลางวัน ซึ่งช่องทางที่ดีนั้น คือทิศเหนือ ซึ่งดวงอาทิตย์จะอ้อมมาทิศเหนือเพียง 3 เดือนเท่านั้น ดังนั้นถ้าเปิดหน้าต่างภายในห้องก็จะได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ดี หรือแสงด้านทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงบ่ายจะไม่โดนแดด ก็จัดได้ว่ารับแสงธรรมชาติที่ดีเช่นกัน
6.ปรับที่และปรับตัว
เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนจะมีบริเวณที่สบายที่สุดในแต่ละเวลา เมื่อรู้ว่าเป็นบริเวณใดแล้วก็ลองปรับตัวของเราเข้าหา เช่น จัดให้บริเวณนั้นมีเก้าอี้นั่งพัก นั่งเล่น หรือทำงานเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้บ้านเรา "เป็นบ้านที่สบาย ประหยัดพลังงาน"
ปรับที่โดยมีตารางช่วยจัดวางห้อง
ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ถ้าเราจะทำตารางจัดวางห้อง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างนี้ดีกว่า
การเริ่มต้นประหยัดพลังงานที่ดีควรมีแนวคิดและหลักปฏิบัตที่ถูกต้อง ซึ่งต่อไปนี้จะเป็น แนวคิด เทคนิควิธีการอยู่ 10 ประการ เพื่อให้ท่านสามารถนำไปใช้ได้
1.หันบ้านให้ถูกทาง
"อยู่เย็นเป็นสุข" "ร่มรื่น ร่มเย็น" "โล่ง โปร่ง สบาย"
สภาพแวดล้อมรอบๆบ้านมีส่วนช่วยทำให้เย็นสบาย เช่น มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา ไม่กีดขวางทางลม ฯลฯ การวางตำแหน่งของบ้านที่ดี จะทำใหบ้าน้รับประโยชน์จากธรรมชาติได้มากที่สุด ถือเป็นการเริ่มต้นช่วยให้การใช้พลังงานในบ้านน้อยลง
ดวงอาทิตย์อ้อมใต้
ความร้อนที่เกิดในบ้าน ส่วนใหญ่จะเกิดจากดวงอาทิตย์ การจะลดความร้อนจากดวงอาทิตย์ ก็ต้องป้องกันแสงแดดไม่ให้ส่องเข้าบ้าน สำหรับประเทศไทย ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นทางด้านทิศตะวันออกจะมีการเคลื่อนตัวไปทิศใต้ จนไปตกทางด้านทิศตะวันตก เป็นเวลา8 - 9 เดือน และเดือนธันวาคมก็เป็นช่วงเดือนที่ดวงอาทิตย์อ้อมไปทางทิศใต้มากที่สุดและมีมุมแดดต่ำที่สุดด้วย ช่วงเดือนที่เหลืออีกประมาณ 3 - 4 เดือน (พฤษภาคม - กรกฎาคม) นั้น ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่อ้อมผ่านทิศเหนือโดยมีมุมแดดค่อนข้างสูง ฉะนั้นด้านทิศเหนือสำหรับบ้านเราจึงเป็นทิศที่แสงธรรมชาติค่อนข้างดี
ดังนั้นการวางตำแหน่งของบ้านก็อาจใช้หลัก "เปิดรับ แสงเหนือ" "กันแดดด้านตะวันตกและใต้"
ลมเหนือและลมใต้
ลมประจำที่พัดผ่านประเทศของเรา เป็นลมที่มีทิศทางค่อนข้างชัดเจนเนื่องจากเป็นลมมรสุม (คล้ายลมบก ลมทะเล แต่พัดเป็นบริเวณกว้าง และพัดเป็นเวลานานๆ) มีอยู่ 2 ชนิด คือ ลมมรสุมฤดูร้อนที่พัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณเดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนตุลาคม และลมมรสุมฤดูหนาวที่พัดมาจากทิศเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณเดือนธันวาคมถึงเดือนกุมภาพันธ์ แปลว่าการจะสร้างบ้าน หรือจัดวางบ้านให้ได้รับลมประจำก็ต้องพยามให้มีช่องลมทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ทั้ง 2 ด้าน สำหรับบ้านในเมืองก็พยามเลือกด้านที่แสงแดดเข้าน้อยที่สุด
2.กางร่มให้บ้าน
หลายๆบ้านไม่สามารถหันหน้าหลบแดดได้ เนื่องจากปลูกสร้างมานาน ก็อาจใช้แนวคิด "กางร่มให้บ้าน" เพื่อให้ตัวบ้านเช่น ผนัง หลังคา ช่องหน้าต่างถูกแดดน้อยที่สุด เมื่อความร้อนเข้าบ้านน้อย ค่าไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศก็น้อยลงด้วย
ต้นไม้สุดยอดร่มเงา
วิธีง่ายๆและให้ประโยชน์มากที่สุดของการกางร่มให้บ้าน คือการปลูกต้นไม้บริเวณรอบๆบ้าน นอกจากความสดชื่นและอากาศบริสุทธ์ที่ได้รับจากต้นไม้ หลายท่านคงพอทราบว่าต้นไม้ช่วยลดความร้อนได้ด้วย โดยจะดูดน้ำออกมาจากพื้นดิน และระเหยเป็นไอน้ำผ่านทางปากใบ ทำให้อากาศโดยรอบเย็นลง
เชื่อหรือไม่ว่า ต้นไม้ขนาดใหญ่ สามารถให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศขนาด 1 ตันเลยทีเดียว
ดังนั้นทุกครั้งที่เราปลูกต้นไม้บริเวณบ้าน เรากำลังได้ประโยชน์จากธรรมชาติ 4 ประการด้วยกันคือ "ให้ร่มเงา" "สร้างอากาศบริสุทธ์" "ทำความเย็น" และช่วยประหยัดพลังงาน" ให้กับบ้านเราไปพร้อมๆกัน
ติดกันสาดให้บ้าน
การติดตั้งกันสาดหรือแผงกันแดดเป็นการป้องกันความร้อนและแสงแดดไม่ให้ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาเป็นความร้อนสะสมอยู่ในบ้าน การติดตั้งกันสาดที่ดีต้องเป็นกันสาดที่กันไม่ให้แสงแดดส่องเข้ามาในบ้านได้เกือบทั้งหมด แต่อย่าติดมากจนทำให้ภายในบ้านมืดจนต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน
3.อย่าใส่แหล่งความร้อน
บริเวณที่ว่างรอบตัวบ้านหลายๆบ้านทำเป็นลานคอนกรีตจอดรถอยู่กลางแสงแดดตลอดเวลา พื้นที่พวกนี้จะเป็นตัวดูดความร้อนและอมความร้อนได้ดี เป็น "แหล่งผลิตความร้อน หรือ มวลความร้อน" จึงควรมีพื้นที่แบบนี้ให้น้อยที่สุด
การแก้ไขกรณีดังกล่าว ก็เช่น การใช้บล็อคสนาม (หญ้าสามารถขึ้นได้) แทน ไม่เช่นนั้นก็ "กางร่มให้ลานคอนกรีต"
ปูฉนวนให้พื้นดิน
การปลูกหญ้า ไม้คลุมดินโดยรอบบ้าน นอกจากเป็นฉนวนกันความร้อนแล้ว ยังเป็นตัวป้องกันฝุ่นอีกด้วย ทั้งยังเป็นการสร้างความร่มรื่น สบายตา ลดการสะท้อนแสง ฯลฯ ย่อมดียิ่งนัก
4.ยอมให้ลมพัดผ่าน
ทุกครั้งที่มีลมพัดผ่านตัวเรา เราจะรู้สึกเย็นสบาย ถ้าบ้านเรามีลม(เย็น) ผ่านเข้าบ้างบ้านเราก็อาจไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือเปิดเพียงแต่น้อย ทิศทางลมหลักๆคือลมหน้าร้อนพัดมาจากทิศใต้และทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลมหน้าหนาวพัดมาจากทิศเหนือและทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หากวางบ้านหรือช่องหน้าต่างทางทิศทางนี้ก็จะมีโอกาสรับลม
แต่ทางที่ดีควรอย่าให้มีเฟอร์นิเจอร์และสิ่งของอื่นมาขวางทางลมเข้าออก และควรมีช่องลม 2 ด้านอยู่ตรงข้ามกันหากไม่มีก็อาจใช้พัดลมช่วยได้ ซึ่งเจ้าพัดลมนี้กินไฟน้อยกว่าเครื่องปรับอากาศเยอะเลย..
5.เปิดบ้านรับแสงธรรมชาติที่ดี
การที่แต่ละห้องมีช่องแสงหรือหน้าต่างให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ ประโยชน์ที่เห็นชัดที่สุดคือเราไม่ต้องเสียค่าไฟฟ้าที่จะเปิดโคมไฟในเวลากลางวัน ซึ่งช่องทางที่ดีนั้น คือทิศเหนือ ซึ่งดวงอาทิตย์จะอ้อมมาทิศเหนือเพียง 3 เดือนเท่านั้น ดังนั้นถ้าเปิดหน้าต่างภายในห้องก็จะได้รับแสงสว่างจากธรรมชาติที่ดี หรือแสงด้านทิศตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงบ่ายจะไม่โดนแดด ก็จัดได้ว่ารับแสงธรรมชาติที่ดีเช่นกัน
6.ปรับที่และปรับตัว
เชื่อว่าที่บ้านของทุกคนจะมีบริเวณที่สบายที่สุดในแต่ละเวลา เมื่อรู้ว่าเป็นบริเวณใดแล้วก็ลองปรับตัวของเราเข้าหา เช่น จัดให้บริเวณนั้นมีเก้าอี้นั่งพัก นั่งเล่น หรือทำงานเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ก็ทำให้บ้านเรา "เป็นบ้านที่สบาย ประหยัดพลังงาน"
ปรับที่โดยมีตารางช่วยจัดวางห้อง
ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ถ้าเราจะทำตารางจัดวางห้อง ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างนี้ดีกว่า
ปรับที่ สังเกตให้ดี มีตัวบอก
การสังเกตหรือจดจำข้อดีหรือข้อเสียของแต่ละพื้นที่ภายในบ้านเช่น มีร่มเงาตลอดทั้งวัน มีลมผ่านเสมอ ร้อนตลอดเวลาบ่ายฯลฯ อย่างที่กล่าวมาแต่ต้น จะทำให้การปรับที่ ปรับบ้านให้อยู่สบายและประหยัดพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้แต่สัตว์เลี้ยงภายในบ้านก็มักจะมองหาที่ที่อยู่สบาย เพื่อให้ตัวมันสบาย
ดังนั้นขอให้หมั่นสังเกต จดจำ หรือบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านไว้ รับรองว่ามีประโยชน์แน่นอน ปรับตัวโดยให้เสื้อผ้าลดค่าไฟ
เชื่อหรือไม่ว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อาจทำให้เราเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวโดยเสื้อผ้าที่เราสวมใส่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ที่เห็นชัดเจนคือในอาคารสำนักงานหลายคนปรับอากาศภายในเย็นเกินไปเลยต้องหาเสื้อผ้าที่หนาขึ้น หรือหลายคนชอบใส่สูท เลยต้องปรับอากาศให้เย็นลง
หากคิดจะช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงาน ก็อาจปรับตัวโดยท่องคาถา "ถอดสูท หยุดใส่ผ้าหนา ลดค่าไฟ" ไว้ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด
7.ติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน
เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นทั้งหมดแล้วบ้านยังร้อนอยู่อีก ก็อาจจำเป็นต้องใช้วัสดุเพื่อกันความร้อน ที่เรียกว่า "ฉนวนกันความร้อน" เพื่อป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้าน วัสดุพวกนี้มีหลายชนิดและประเภท สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ
สำหรับห้องที่มีการปรับอากาศ (ห้องที่ติดแอร์)
สำหรับห้องหรือบ้านที่ไม่มีการปรับอากาศ
8.เรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
วัตต์ (WATT) ที่เห็นเขียนอยู่บนเครื่องไฟฟ้านั้นบอกอะไร
วัตต์ (WATT) หรือตัว W ทีมักเขียนอยู่ตามหลอดไฟ พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศฯลฯ คืออัตรากำลังการใช้ไฟฟ้า (Power Rating) ของเครื่องใช้ไฟฟ้า พูดง่ายๆก็คือ หน่วยของไฟฟ้าที่บอกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรานั้นกินไฟเท่าไรเวลาเปิดใช้งาน เช่น หลอดไฟที่เขียนว่า 36 W หมายความว่าหากเปิดหลอดตัวนี้มันจะกินไฟ 36 วัตต์ต่อหนึ่งชั่วโมง หากวัตต์มาก เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นก็จะใช้พลังงานมากด้วย การใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้าน
พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านพักอาศัยเป็นพลังงานไฟฟ้า แยกได้ 3 ส่วนหลักๆคือ
1. ไฟฟ้าสำหรับปรับอากาศ
2. ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง
3. ไฟฟ้าสำหรับใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ บำรุงรักษา คือหัวใจของการใช้อุปกรณ์
ไม่ว่าจะเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ดี ประหยัดไฟเพียงใด หากไม่มีการดูแลรักษาหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสมอุปกรณ์ที่ดีก็อาจเป็นตัวร้ายกินไฟก็ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจทำให้ตู้เย็นเบอร์ 5 เหลือเป็นเบอร์ 1 ได้ทันที
9.ลดปัญหาการใช้ไฟฟ้า หรือ กลยุทธ์ลดค่าไฟ
เอาของร้อนและชื้นออกไปจากห้องแอร์
เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องปรับอากาศใช้ทำความเย็นแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 70 เปอร์เซ็นต์ใช้ในการ "ทำให้อากาศแห้ง" ในห้อง หากเราไม่อยากให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก ก็ไม่ควรนำของร้อนหรือของชื้นเข้าไปในห้องที่มีการปรับอากาศ ปิดแอร์อย่าเปิดประตูหน้าต่างทันที
คงมีหลายคนที่ตื่นเช้าออกจากห้องนอนแล้วเปิดหน้าต่างทันที การทำเช่นนั้นอาจทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเมื่อเข้ามาเปิดครั้งต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากอากาศข้างนอกเข้ามาจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ และสะสมอยู่ตามผ้าห่ม ผ้าม่าน
ข้อแนะนำคือ หลังจากปิดเครื่องปรับอากาศไม่ควรเปิดประตูหน้าต่างทันที ปล่อยให้อากาศปรับกันเองดีกว่า เผลอๆอาจลดฝุ่นละอองเข้ามาในห้องได้อีก 25 องศา ตัวเลขเย็นกำลังดี
เมื่อได้ป้องกันความร้อนในบ้านให้เป็นอย่างดีแล้ว ควรตั้งอุณหภูมิห้องไว้ที่ 25 องศา ก็เพียงพอที่จะทำให้อากาศในห้องนั้นเย็นสบายแล้ว ดังนั้นควรท่องจำไว้ว่า "25 องศา ใส่เสื้อผ้าเบาบาง ประหยัดสตางค์ค่าไฟ" เปิดพัดลมช่วยกันดีกว่า
ห้องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่ เรามักใช้วิธีเร่งลมที่เป่าออกมา ไม่ก็ปรับอุณหภูมิให้ต่ำลง จะได้เย็นทั่วทั้งห้อง การทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น ลองนำพัดลมมาตั้งซักตัว เปิดลมให้แรงหน่อยแม้จะเสียค่าไฟเปิดพัดลม 1 ตัว แต่ยังเสียน้อยกว่าลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเยอะเลย ทำกิจกรรมในบ้านพร้อมกัน
บ้านที่อยู่กันหลายคน ควรพยามทำกิจกรรมพร้อมๆกัน เช่นการกินข้าวในแต่ละมื้อ ก็ช่วยลดค่าไฟของไมโครเวฟ หรือค่าก๊าซหุงต้มจากการอุ่นอาหาร จะเห็นได้ว่าทุกคนในบ้านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการลดพลังงานและค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน ทีวี อย่าได้มีไว้กล่อมนอน
มีบางคนที่รอเฝ้าดูรายการโทรทัศน์ รายการโปรดช่วงดึก แล้วเผลอหลับไป เชื่อหรือไม่ว่าแต่ละวันที่เผลอไปนั้น เสียค่าไฟให้โทรทัศน์ที่ไม่ได้ดูเกือบ 3 บาทต่อวัน หากเผลอเช่นนี้ทุกวันทั้งเดือน ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 65 บาทแน่นอน
รู้อย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้โทรทัศน์กล่อมเรานอนเลยดีกว่า
10.ประหยัดสตางค์ของเรา
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรหากเป็นบ้านที่ปลูกมานานแล้ว คงเป็นไปได้ยากที่จะให้รื้อบ้านที่มีแล้วทิ้งไปเพื่อสร้างบ้านใหม่ และเพื่อให้ประหยัดพลังงานแนวคิดข้อสุดท้ายนี้ จะเป็นการชี้แนะแนวทาง แบ่งได้เป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 ทำได้ทันทีไม่ต้องมีเงินทุน
เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดในการประหยัดพลังงานในบ้าน เนื่องจากทุกคนสามารถทำได้ทันที คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สอย การใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน ระดับนี้อาศัยแนวคิดที่ 6 คือ "การปรับตัว" เป็นการเริ่มต้น ย้ายเฟอร์นิเจอร์ไม่ให้ขวางทางลม แล้วเสริมด้วยเรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
ระดับที่ 2 ทำเองก็ได้ใช้งบประมาณนิดหน่อย
เมื่อปรับตัวและปรับที่แล้ว อาจมีส่วนต้องเสริมเพิ่มเติมให้กับบ้านหรือรอบๆบ้าน โดยที่เจ้าของสามารถลงมือทำเอง เช่น การปลูกต้นไม้ การปลูกไม้เลื้อยเพื่อป้องกันแดด ระดับนี้มีการใช้จ่ายเงินบ้าง เช่น ค่าต้นไม้ ค่าปูบล็อค ค่าฉนวนกันความร้อน
ระดับ 3 ทำเองลำบาก ต้องฝาก(จ้าง) ผู้เชี่ยวชาญ
บางครั้งการทำในระดับที่ 2 อาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ หรือแรงงานคนอื่นมาช่วยทำ เนื่องจากงานมีมากเกินไป ทำเองอาจไม่สวยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจเรื่องโครงสร้างของบ้าน ทั้งหมดที่ว่านี้คงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาช่วยในการปรับปรุงซึ่งต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณและเวลาในส่วนนี้เพิ่มจากค่าวัสดุด้วย
ระดับ 4 หากมีงบประมาณสร้างใหม่ให้ดี
ทั้ง 3 ระดับที่กล่าวมาถือเป็นการปรับปรุงบ้านที่สร้างเสร็จไปแล้วให้พลังงาน แต่มีบางครอบครัวที่จะสร้างบ้านใหม่ ระดับสุดท้ายคือการ "หันบ้านให้ถูกทาง" เป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกซื้อที่ดินหรือใช้ตางรางในการจัดวางห้อง เลือกแบบบ้าน จากนั้นก็สามารถนำทุกแนวคิดมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งหมด ลองปรึกษาผู้รู้ ผู้ออกแบบ สถาปนิก วิศวกร หรือ
ช่างก่อสร้างด้วยแนวคิดทั้ง 10 ประการ น่าจะถือเป็นการประหยัดพลังงานที่ดีและหาร 2 ให้กับบ้านจริงๆ ส่งท้ายแนวคิด
credit:http://www.green.kmutt.ac.th/
การสังเกตหรือจดจำข้อดีหรือข้อเสียของแต่ละพื้นที่ภายในบ้านเช่น มีร่มเงาตลอดทั้งวัน มีลมผ่านเสมอ ร้อนตลอดเวลาบ่ายฯลฯ อย่างที่กล่าวมาแต่ต้น จะทำให้การปรับที่ ปรับบ้านให้อยู่สบายและประหยัดพลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แม้แต่สัตว์เลี้ยงภายในบ้านก็มักจะมองหาที่ที่อยู่สบาย เพื่อให้ตัวมันสบาย
ดังนั้นขอให้หมั่นสังเกต จดจำ หรือบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างภายในบ้านไว้ รับรองว่ามีประโยชน์แน่นอน ปรับตัวโดยให้เสื้อผ้าลดค่าไฟ
เชื่อหรือไม่ว่าเสื้อผ้าที่เราสวมใส่อาจทำให้เราเสียค่าไฟเพิ่มขึ้นโดยไม่รู้ตัวโดยเสื้อผ้าที่เราสวมใส่นั้นก็เป็นส่วนหนึ่งเลยทีเดียว ที่เห็นชัดเจนคือในอาคารสำนักงานหลายคนปรับอากาศภายในเย็นเกินไปเลยต้องหาเสื้อผ้าที่หนาขึ้น หรือหลายคนชอบใส่สูท เลยต้องปรับอากาศให้เย็นลง
หากคิดจะช่วยประเทศชาติประหยัดพลังงาน ก็อาจปรับตัวโดยท่องคาถา "ถอดสูท หยุดใส่ผ้าหนา ลดค่าไฟ" ไว้ก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด
7.ติดตั้งฉนวนป้องกันความร้อน
เมื่อทำตามขั้นตอนข้างต้นทั้งหมดแล้วบ้านยังร้อนอยู่อีก ก็อาจจำเป็นต้องใช้วัสดุเพื่อกันความร้อน ที่เรียกว่า "ฉนวนกันความร้อน" เพื่อป้องกันความร้อนไม่ให้เข้ามาในบ้าน วัสดุพวกนี้มีหลายชนิดและประเภท สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ
สำหรับห้องที่มีการปรับอากาศ (ห้องที่ติดแอร์)
- หากมีงบประมาณเพียงพอ ควรติดฉนวนทั้งที่ผนังและหลังคา (ฝ้าเพดาน)ของทุกห้องที่มีการปรับอากาศ จะทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานไม่หนัก เนื่องจากจะสู้รบกับความร้อนภายในบ้านเท่านั้น
- หากมีงบประมาณปานกลาง ควรติดฉนวนที่หลังคา แล้วเลือกติดผนังด้านที่ร้อนที่สุดอีก 1 - 2 ด้าน
- หากมีงบประมาณน้อย เลือกติดที่หลังคา ก็พอจะช่วยประหยัดพลังงานได้ เพราะหลังคาคือส่วนที่ร้อนที่สุด
สำหรับห้องหรือบ้านที่ไม่มีการปรับอากาศ
- แนะนำเป็นอย่างยิ่งควรหางบประมาณสำหรับติดตั้งฉนวนบนหลังคาชั้นบนสุด เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้าเพดานร้อนและแผ่ความร้อนมาหาเรา
- หากมีงบประมาณเพียงพอ อาจเลือกติดที่ผนังด้านที่ค่อนข้างร้อนเพิ่มเติม
- อย่าเผลอติดฉนวนบ้านที่ไม่มีการปรับอากาศจนเต็มบ้าน เพราะฉนวนนั้นจะป้องกันไม่ให้ความร้อนออกไปจาก
บ้านด้วย
8.เรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
วัตต์ (WATT) ที่เห็นเขียนอยู่บนเครื่องไฟฟ้านั้นบอกอะไร
วัตต์ (WATT) หรือตัว W ทีมักเขียนอยู่ตามหลอดไฟ พัดลม หรือเครื่องปรับอากาศฯลฯ คืออัตรากำลังการใช้ไฟฟ้า (Power Rating) ของเครื่องใช้ไฟฟ้า พูดง่ายๆก็คือ หน่วยของไฟฟ้าที่บอกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรานั้นกินไฟเท่าไรเวลาเปิดใช้งาน เช่น หลอดไฟที่เขียนว่า 36 W หมายความว่าหากเปิดหลอดตัวนี้มันจะกินไฟ 36 วัตต์ต่อหนึ่งชั่วโมง หากวัตต์มาก เครื่องใช้ไฟฟ้านั้นก็จะใช้พลังงานมากด้วย การใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้าน
พลังงานที่ใช้ส่วนใหญ่ในบ้านพักอาศัยเป็นพลังงานไฟฟ้า แยกได้ 3 ส่วนหลักๆคือ
1. ไฟฟ้าสำหรับปรับอากาศ
2. ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง
3. ไฟฟ้าสำหรับใช้กับอุปกรณ์ต่างๆ บำรุงรักษา คือหัวใจของการใช้อุปกรณ์
ไม่ว่าจะเลือกอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ดี ประหยัดไฟเพียงใด หากไม่มีการดูแลรักษาหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสมอุปกรณ์ที่ดีก็อาจเป็นตัวร้ายกินไฟก็ได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจทำให้ตู้เย็นเบอร์ 5 เหลือเป็นเบอร์ 1 ได้ทันที
9.ลดปัญหาการใช้ไฟฟ้า หรือ กลยุทธ์ลดค่าไฟ
เอาของร้อนและชื้นออกไปจากห้องแอร์
เชื่อหรือไม่ว่าเครื่องปรับอากาศใช้ทำความเย็นแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น อีก 70 เปอร์เซ็นต์ใช้ในการ "ทำให้อากาศแห้ง" ในห้อง หากเราไม่อยากให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนัก ก็ไม่ควรนำของร้อนหรือของชื้นเข้าไปในห้องที่มีการปรับอากาศ ปิดแอร์อย่าเปิดประตูหน้าต่างทันที
คงมีหลายคนที่ตื่นเช้าออกจากห้องนอนแล้วเปิดหน้าต่างทันที การทำเช่นนั้นอาจทำให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักขึ้นเมื่อเข้ามาเปิดครั้งต่อไป ทั้งนี้เนื่องจากอากาศข้างนอกเข้ามาจะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ และสะสมอยู่ตามผ้าห่ม ผ้าม่าน
ข้อแนะนำคือ หลังจากปิดเครื่องปรับอากาศไม่ควรเปิดประตูหน้าต่างทันที ปล่อยให้อากาศปรับกันเองดีกว่า เผลอๆอาจลดฝุ่นละอองเข้ามาในห้องได้อีก 25 องศา ตัวเลขเย็นกำลังดี
เมื่อได้ป้องกันความร้อนในบ้านให้เป็นอย่างดีแล้ว ควรตั้งอุณหภูมิห้องไว้ที่ 25 องศา ก็เพียงพอที่จะทำให้อากาศในห้องนั้นเย็นสบายแล้ว ดังนั้นควรท่องจำไว้ว่า "25 องศา ใส่เสื้อผ้าเบาบาง ประหยัดสตางค์ค่าไฟ" เปิดพัดลมช่วยกันดีกว่า
ห้องปรับอากาศที่มีขนาดใหญ่ เรามักใช้วิธีเร่งลมที่เป่าออกมา ไม่ก็ปรับอุณหภูมิให้ต่ำลง จะได้เย็นทั่วทั้งห้อง การทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้เครื่องปรับอากาศกินไฟมากขึ้น ลองนำพัดลมมาตั้งซักตัว เปิดลมให้แรงหน่อยแม้จะเสียค่าไฟเปิดพัดลม 1 ตัว แต่ยังเสียน้อยกว่าลดอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเยอะเลย ทำกิจกรรมในบ้านพร้อมกัน
บ้านที่อยู่กันหลายคน ควรพยามทำกิจกรรมพร้อมๆกัน เช่นการกินข้าวในแต่ละมื้อ ก็ช่วยลดค่าไฟของไมโครเวฟ หรือค่าก๊าซหุงต้มจากการอุ่นอาหาร จะเห็นได้ว่าทุกคนในบ้านมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการลดพลังงานและค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือน ทีวี อย่าได้มีไว้กล่อมนอน
มีบางคนที่รอเฝ้าดูรายการโทรทัศน์ รายการโปรดช่วงดึก แล้วเผลอหลับไป เชื่อหรือไม่ว่าแต่ละวันที่เผลอไปนั้น เสียค่าไฟให้โทรทัศน์ที่ไม่ได้ดูเกือบ 3 บาทต่อวัน หากเผลอเช่นนี้ทุกวันทั้งเดือน ก็ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 65 บาทแน่นอน
รู้อย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้โทรทัศน์กล่อมเรานอนเลยดีกว่า
10.ประหยัดสตางค์ของเรา
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรหากเป็นบ้านที่ปลูกมานานแล้ว คงเป็นไปได้ยากที่จะให้รื้อบ้านที่มีแล้วทิ้งไปเพื่อสร้างบ้านใหม่ และเพื่อให้ประหยัดพลังงานแนวคิดข้อสุดท้ายนี้ จะเป็นการชี้แนะแนวทาง แบ่งได้เป็น 4 ระดับดังนี้
ระดับที่ 1 ทำได้ทันทีไม่ต้องมีเงินทุน
เป็นหัวใจที่สำคัญที่สุดในการประหยัดพลังงานในบ้าน เนื่องจากทุกคนสามารถทำได้ทันที คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สอย การใช้พลังงานในชีวิตประจำวัน ระดับนี้อาศัยแนวคิดที่ 6 คือ "การปรับตัว" เป็นการเริ่มต้น ย้ายเฟอร์นิเจอร์ไม่ให้ขวางทางลม แล้วเสริมด้วยเรื่องน่ารู้ก่อนใช้ไฟฟ้า
ระดับที่ 2 ทำเองก็ได้ใช้งบประมาณนิดหน่อย
เมื่อปรับตัวและปรับที่แล้ว อาจมีส่วนต้องเสริมเพิ่มเติมให้กับบ้านหรือรอบๆบ้าน โดยที่เจ้าของสามารถลงมือทำเอง เช่น การปลูกต้นไม้ การปลูกไม้เลื้อยเพื่อป้องกันแดด ระดับนี้มีการใช้จ่ายเงินบ้าง เช่น ค่าต้นไม้ ค่าปูบล็อค ค่าฉนวนกันความร้อน
ระดับ 3 ทำเองลำบาก ต้องฝาก(จ้าง) ผู้เชี่ยวชาญ
บางครั้งการทำในระดับที่ 2 อาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ หรือแรงงานคนอื่นมาช่วยทำ เนื่องจากงานมีมากเกินไป ทำเองอาจไม่สวยเท่าไหร่ ไม่แน่ใจเรื่องโครงสร้างของบ้าน ทั้งหมดที่ว่านี้คงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาช่วยในการปรับปรุงซึ่งต้องมีการจัดเตรียมงบประมาณและเวลาในส่วนนี้เพิ่มจากค่าวัสดุด้วย
ระดับ 4 หากมีงบประมาณสร้างใหม่ให้ดี
ทั้ง 3 ระดับที่กล่าวมาถือเป็นการปรับปรุงบ้านที่สร้างเสร็จไปแล้วให้พลังงาน แต่มีบางครอบครัวที่จะสร้างบ้านใหม่ ระดับสุดท้ายคือการ "หันบ้านให้ถูกทาง" เป็นจุดเริ่มต้นในการเลือกซื้อที่ดินหรือใช้ตางรางในการจัดวางห้อง เลือกแบบบ้าน จากนั้นก็สามารถนำทุกแนวคิดมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งหมด ลองปรึกษาผู้รู้ ผู้ออกแบบ สถาปนิก วิศวกร หรือ
ช่างก่อสร้างด้วยแนวคิดทั้ง 10 ประการ น่าจะถือเป็นการประหยัดพลังงานที่ดีและหาร 2 ให้กับบ้านจริงๆ ส่งท้ายแนวคิด
credit:http://www.green.kmutt.ac.th/